header-photo
 

ข่าวสารอาเซียน (ASEAN News)

 

มาเลย์ชุมนุมไล่นายกฯวันที่ 2 -มหาเธร์ร่วมแจม

ASEAN News

30 สิงหาคม 2558 : สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่30ส.ค.ว่า ประชาชนจำนวนมากยังคงชุมนุมเป็นวันที่สองเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายเพื่อต้องการให้นายกรัฐมนตรีนาจิบราซัก ผู้นำมาเลเซียลาออกกรณีทุจริตเกี่ยวกับเงินอื้อฉาวหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาผู้ชุมนุมหลายร้อยคนใช้พื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นสถานที่พักผ่อนหลับนอน ภายหลังเหน็ดเหนื่อยจากการประท้วงวันแรก ซึ่งไม่มีรายงานการใช้ความรุนแรง

โดยในวันที่สองของการชุมนุมประท้วงขับไล่นายกฯนาจิบยังคงอยู่ในอารมณ์ของความรื่นเริงและมีการทำกิจกรรมร่วมกันหลายอย่าง เช่น การทำพิธีมิสซาที่โบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์และการสวดมนตร์ กลุ่มเบอร์ซีห์ซึ่งเป็นองค์กรเรียกร้องประชาธิปไตยในมาเลเซียเป็นผู้จัดการชุมนุมครั้งนี้ แม้ว่ากลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตจากทางการกรุงกัวลาลัมเปอร์ให้จัดการชุมนุมก็ตาม เพราะเกรงว่า จะซ้ำรอยเหตุการประท้วงเมื่อปี2555 ซึ่งครั้งนั้นตำรวจต้องใช้รถฉีดน้ำและแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม

 

 

นอกจากนี้รัฐบาลยังปิดเว็บไซต์ของกลุ่มเบอร์ซีห์อีกด้วย และห้ามสวมใส่เสื้อเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม แต่การประท้วงครั้งล่าสุด ผู้ชุมนุมกลับพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองกันเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม นายมหาเธร์โมฮัมหมัด อดีตนายกฯพร้อมด้วยภริยา ได้สร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการเดินทางมาร่วมการชุมนุมในช่วงสั้นๆ แต่ก็เรียกเสียงฮือฮาและความยินดีจากกลุ่มผู้ชุมนุม

มาเรียชิน อับดุลลาห์ แกนนำกลุ่มเบอร์ซีห์บอกว่า การที่อดีตนายกฯมหาเธร์มาร่วมชุมนุม เป็นผลดีต่อเราและยังเป็นการกระตุ้นเตือนว่า การทุจริตไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การชุมนุมของประชาชนจำนวนมากเกิดขึ้นเพราะมีรายงานว่ามีการโอนเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาวันมาเลเซียดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด(1เอ็มดีบี)จำนวนกว่า600ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า20,000ล้านบาทเข้าบัญชีธนาคารของนายกฯนาจิบ แม้นายกฯปฏิเสธทำผิดเพราะเงินเหล่านี้ได้รับการบริจาคมาจากตะวันออกกลาง แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อของผู้ให้

ด้านสถานเอกอัครราชทูตไทย ณกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียได้แจ้งเตือนผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊คว่าตามที่ได้มีการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลในกรุงกัวลาลัมเปอร์และอีกหลายเมืองในมาเลเซีย สถานเอกอัครราชทูตไทยฯจึงขอให้คนไทยใช้ความระมัดระวังหลีกเลี่ยงการเข้าสู่พื้นที่เสี่ยงและติดตามข่าวสารเป็นระยะ ทั้งนี้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลสถานเอกอัครราชทูตไทยฯได้ที่หมายเลขโทรศัพท์017-700-4822

แหล่งข้อมูล ภาพและข่าว : เดลินิวส์

กลับหน้าหลัก ข่าวสารอาเซียน