header-photo
 

ข่าวสารอาเซียน (ASEAN News)

 

มรสุมเศรษฐกิจกระหน่ำรัฐบาลอินโดฯ

ASEAN News

11 พฤษภาคม 2558 : สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ว่าประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย เรียกประชุมฉุกเฉินรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีรายงานว่าอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) เมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ร้อยละ 5.01 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 สร้างความกงัวลให้แก่หลายฝ่ายว่า บรรยากาศซบเซาของเศรษฐกิจซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วทั้งภูมิภาค

วิโดโดยืนยันมาตลอดเรื่องการรักษาระดับการขยายตัวของจีดีพีในประเทศให้อยู่ที่ราวร้อยละ 7 ตลอดช่วงเวลา 5 ปีของการดำรงตำแหน่งผู้นำอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม ผู้สันทัดกรณีหรือแม้แต่ทีมงานของวิโดโดวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยว่า เป็นผลจากประสิทธิภาพของรัฐมนตรีและระบบข้าราชการของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งยังไม่ได้ "มาตรฐาน"

 

แม้ผู้นำอินโดนีเซียยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงในประเทศ ทันทีที่ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังไม่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น และทุ่มงบประมาณมากมหาศาลเพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภคทั้งท่าเรือ ถนน และเส้นทางรถไฟ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ แต่สถิติเมื่อถึงวันที่ 25 เม.ย. ปรากฏว่า รัฐบาลใช้เงินไปเพียง 7 ล้านล้านรูเปียห์ ( ราว 191,100 ล้านบาท ) หรือเพียงร้อยละ 2 จากงบประมาณแผ่นดินมูลค่า 290 ล้านล้านรูเปียห์เท่านั้น ( ราว 7.16 ล้านล้านบาท )

การที่รัฐบาลจาการ์ตาของวิโดโดไม่ใช้งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภา ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ได้รับการวิเคราะห์จากหลายฝ่าย ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศซบเซา และอัตราการขยายตัวของจีดีพีในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่เพียงร้อยละ 4.7

รองประธานาธิบดียูซูฟ กัลลา กล่าวว่าการปรับคณะรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นภายในอีก "ไม่กี่สัปดาห์" แต่วิโดโดไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ขณะที่ประชาชนเริ่มแสดงความไม่พอใจมากขึ้นต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่มีการคาดการณ์ว่าการขยายตัวในปีนี้อาจอยู่ที่เพียงร้อยละ 5.2 ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.7

จริงอยู่ที่การปรับคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญทั้งที่ทำงานยังไม่ครบ 1 ปี สะท้อนปัญหาในการทำงานของรัฐบาล แต่อย่างน้อยการตระหนักถึงปัญหาแล้วแสดงความตั้งใจในการแก้ไขเร็วขึ้นเท่าไหร่ น่าจะก่อให้เกิดผลดีเร็วขึ้นกว่าการนั่งกังวลแต่ไม่ทำสิ่งใดอย่างจริงจัง

 

แหล่งข้อมูล ภาพและข่าว : เดลินิวส์  

กลับหน้าหลัก ข่าวสารอาเซียน