header-photo
 

ข่าวสารอาเซียน (ASEAN News)

 

ปธน.เวียดนามเยือนญี่ปุ่นครั้งประวัติศาสตร์ ยกระดับความสัมพันธ์สู่บทใหม่

ASEAN News

21 มีนาคม 2557 : ซินหวา - การเดินทางเยือนญี่ปุ่นเมื่อไม่นานนี้ของประธานาธิบดีเจื่อง เติ่น ซาง ถือเป็นเครื่องหมายทางประวัติศาสตร์ที่เป็นการเปิดหน้าใหม่ในความสัมพันธ์ทวิภาคี นายฝ่าม บิ่ง มีง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าวในการแถลงข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศวานนี้ (20)

ประธานาธิบดีเจื่อง เติ่น ซาง เดินทางเยือนญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 16-19 มี.ค. ตามคำเชิญของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ที่ถือเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของประธานาธิบดีเวียดนามนับตั้งแต่ปี 2550 และเป็นการเยือนครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ 2 ประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2516

 

 

ในระหว่างการเยือน ประธานาธิบดีซาง ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และพบกับผู้แทน และเจ้าหน้าที่ของราชวงศ์ เยือนสภาไดเอท (รัฐสภาญี่ปุ่น) และพบปะหารือกับรัฐบาล กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ และสมาคมธุรกิจ

เวียดนาม และญี่ปุ่นยังได้ออกคำแถลงร่วมในวันอังคาร (18) ที่จะยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ครอบคลุมรอบด้าน”

รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามยังระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นชอบที่จะรักษาการแลกเปลี่ยน และการเยือนในระดับสูง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่างๆ เช่น ความมั่นคง กลาโหม การปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจการค้า การลงทุน การเกษตร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุข การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและประชาชน

ญี่ปุ่นมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนแผนการดำเนินการในยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมของเวียดนาม ที่ประกอบด้วย อุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรทางการเกษตร การผลิตทางการเกษตรและประมง การต่อเรือ การประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม รถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ และญี่ปุ่นจะยังสนับสนุนเวียดนามในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใน จ.นิงทวน อีกด้วย

นายฝ่าม บิ่ง มีง อ้างคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่ระบุว่า เวียดนามยังคงถูกมองว่าเป็นพันธมิตรสำคัญในนโยบายของญี่ปุ่นในส่วนของความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) โดยที่เศรษฐกิจ การลงทุน และการค้า จะมีความสำคัญลำดับต้นในความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ

และทั้ง 2 ฝ่ายยังมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าทางการค้า 2 ทางขึ้นอีก 2 เท่า เป็น 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2563.

แหล่งข้อมูล ภาพและข่าว : เมเนเจอร์ .    

กลับหน้าหลัก ข่าวสารอาเซียน